วันก่อนผมบรรยายเรื่อง TCAS รอบ 1 รอบ PORTFOLIO ให้กับผู้ปกครองระดับชั้น ม.4 ประมาณ 40+ คนฟัง ตามความจุของห้อง ( ควรเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ ม.4 คือดีสุด ) ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญในการเตรียมตัว ถึงแม้สุดท้ายแล้ว อาชีพที่เลือก คณะที่อยากไปเรียน จะไม่เหมือน จะเปลี่ยนไปจากตอนที่เริ่มต้นเตรียมตัว แต่ก็บรรลุเป้าหมาย สูงกว่าที่คาด มากกว่าที่คิด
ที่เคยเล่าผ่านมา 4-5 ตอน พอจะมองออกแล้วนะครับว่า แผน 3 ปี กับบันใด 3 ขั้นมีอะไรบ้าง เพื่อการเตรียมตัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยรอบ Portfolio + International School
อย่างที่บอกว่า ความจริงแล้วพวกคณะที่มีการเรียนการสอนแบบนานาชาติหรือ International School ทั้งหลาย จะมีวิธีการคัดเลือกและรับนักศึกษาเป็นของตัวเอง เพียงแต่มาขอเกาะรอบ TCAS ในการยืนยันสิทธิ์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น
ดังนั้น เราสามารถเตรียมตัวเพื่อให้ตรงตามความต้องการของคณะ/มหาวิทยาลัยที่เราสนใจได้
บันไดสามขั้นถ้ามองง่ายๆจากบทความที่เคยเขียนไป ก็คือสามเรื่องนี้
- English Proficiency
- Academic Achievement
- Portfolio
( ขออนุญาต นำภาพจาก Slide ที่เพิ่งบรรยายไปมาใช้นะครับ )
ทั้งนี้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เด็กๆจะต้องรักษาระดับเกรด ให้ได้ตามที่มหาวิทยาลัยต่างๆต้องการนะครับ และแผนที่เขียนบันใดที่เดินเป็นการยื่น TCAS รอบ Portfolio นะครับ
บันไดขั้นที่ 1 – English Proficiency
เราเลือกตัวนี้ขึ้นมาก่อน แทนที่จะเป็น Academic Achievement ก็เพราะว่าภาษาอังกฤษก็คือภาษาอังกฤษ มันอยู่ที่ประสบการณ์ แนวทาง เทคนิคการทำข้อสอบ ฯลฯ ที่ต้องขวนขวายให้เจอให้พอ ต่างจาก Academic ที่จะต้องมีเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาอีกหลากหลายอย่างที่เด็กๆยังไม่ได้เรียนเลย ทั้ง Chemistry Physics Biology และ Mathematics ดังนั้น เราตั้งเป้าเลยว่าจะเก็บ IELTS ก่อน
เคยเล่าไปแล้วว่าทำไมถึงเป็น IELTS ทำไมไม่ TOEFL CU-TEP TU-GET ซึ่งก็เพราะว่า IELTS น่าจะหาข้อมูลได้ง่ายกว่า ใช้ได้แพร่หลายกว่า และดูแล้วน่าจะไม่ยากมาก
มีหลายคนถามว่าต้องไปเรียนพิเศษอะไรก่อนไหม?
ผมตอบโดยไม่ลังเลเลยครับว่า ควรอย่างยิ่ง เพื่อทราบแนวทางและเทคนิคการทำข้อสอบต่างๆ ถ้าลูกเราไม่ได้เป็นแบบเด็กอัจฉริยะ เด็กที่ชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง มีสมาธิดี …. แต่อย่างที่บอก … ลูกผมไม่ใช่เลย !!! เท่าที่จำความได้ก็เกาะติวเตอร์มาเรื่อยๆ เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราก็ไม่อยากให้ใครมาเรียนแบบ ทางใครทางมัน เอาที่ลูกชอบลูกถนัดนั่นแหละเพื่อเป้าหมายสุดท้าย
เมื่อเรียนมาแล้ว ที่เหลือเราก็ฝึกทำข้อสอบเก่า โจทย์แบบฝึกหัดซึ่งหาได้เยอะแยะมากมายในปัจจุบัน หรือใครไม่ได้เรียนก็หาเรียนของฟรีบน Youtube ก็ได้ครับ มีเยอะมาก
สำหรับค่าสมัครสอบ IELTS นั้นตกประมาณ 6,900 บาท ดังนั้นไม่ต้องสอบทุกเดือนก็ได้นะครับ
แล้วไปสมัครสอบได้ที่ไหนหละ?
จริงๆหลักๆในเมืองไทยเท่าที่ทราบก็มี 2 Operators (เขาเรียกว่าอะไรไม่รู้ แต่ขอใช้คำนี้ไปก่อนนะครับ) ที่จัดสอบ
ลูกสมัครสอบของศูนย์ IDP ก็ถือว่าดีครับ ครั้งหนึ่งในชีวิต สถานที่ ห้องสอบ โต๊ะสอบ เครื่องไม้เครื่องมือ headset โอเคหมดครับ (สอบที่ AUA อาคารจามจุรีสแควร์) ส่วนทักษะ Speaking ไปสอบที่ Office ของ IDP ที่อาคาร CP Silom ข้อดีส่วนครอบครัวอย่างหนึ่งก็คือ ที่ IDP อย่างที่บอกเชื้อชาติ Australia ต่างจาก British Council ที่เป็นสัญชาติเชื้อชาติอังกฤษแท้ๆ ที่บอกว่าดีก็คือ ตอนลูกไปสอบ Speaking ซึ่งเราก็ไม่ได้แบบว่าพูดอังกฤษจ๋าซะที่ไหนหละ แต่ครูที่สอบ เป็นประมาณลูกครึ่งมาทางเอเซีย แฮนซั่ม มากๆ แล้วเขาไม่ได้เข้ามาแบบว่าตาขมึงตึง เฉยๆ สีหน้าเรียบๆ พูดอยู่ในลำคอ(ผมเคยมีเจ้านายเป็นคนอังกฤษจากเมืองเบอร์มิ่งแฮม) แต่ท่านครูผู้สอบท่านนี้ มาถึงก็ชวนคุยสบายๆก่อยเลย(Ice Breaking) ลูกบอกว่า ….ตอนเดินเข้าไปก็เกร็งๆ แต่พอเจอช่วงจังหวะนี้ หายเป็นปลิดทิ้ง …. สุดยอด จริงๆ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการในการสอบ
แล้วจะวางเป้ากันอย่างไรดี?
ตอนนั้นจำความได้ว่า ให้ลูกไปสอบตอนต้นเดือนพฤษภาคม ช่วงปิดเทอม ม.4 กำลังจะขึ้น ม.5 โดยวางเป้ากันว่าควรจะได้สัก 6.0 เพราะว่าสามารถใช้ยื่น fast track ที่ MUIC ได้(Writing ก็ต้องได้ 6.0 ขึ้นไปด้วย) และผลพลอยได้ก็คือ พอที่จะใช้ยื่นแพทย์ที่ขอนแก่นได้ด้วย …ดังนั้นเราวางเป้ากันเอาไว้ว่า 6.0 แต่ถ้าสุดๆหลุดโลกก็ขอ 6.5 นะสาธุ…
แต่พอผลสอบออกมา ดีกว่าที่ตั้งใจ ตัวเลขงามกว่าที่คิดไว้หน่อยนึง ลูกก็เลยบอกว่า “พอแล้ว ไม่สอบแล้ว” ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนเข้าไปสอบ เพราะ…ส่วนใหญ่แล้วคะแนน IELTS ใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกเท่านั้นว่า “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน”… ไม่ได้นำมาใช้ในการคิดคะแนนคัดเลือก ยกเว้นที่แพทย์เชียงใหม่ให้น้ำหนักคะแนน 30% (รู้งี้ไปสอบอีกรอบก็ดีนะ) สำหรับใครจะใช้ยื่น ISE CU เขาก็จะเอาคะแนน IELTS ไปคิดด้วยนะครับ
มองจาก Slide นี้แล้ววางเป้าได้เลย 7 จบ 6 โอเค
บทสรุป
แล้วแต่แผนและเทคนิคของแต่ละคนแต่ละครอบครัวนะครับ ว่าจะเริ่มสอบเก็บอะไรก่อน แต่ที่พวกเราเลือก IELTS ก็อย่างที่บอก “ภาษาอังกฤษ ก็คือ ภาษาอังกฤษ” (ความจริง ก็คือ ความจริง ครูปรีชาไม่ได้กล่าวไว้ !!! ) มันอยู่ที่ทักษะแล้วหละ เก็บได้เก็บก่อนเลย จบแล้วจบเลย แล้วค่อยเดินหน้าไปเก็บตัวอื่นๆอีกต่อไป
บางครอบครัว เด็กบางคน สอบครั้งแรกก็ 8 หรือ 8.5 ก็สบายไป เพราะอย่างที่บอก เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน สามารถเอามาเป็นแบบแผน เป็นเป้าหมายได้ แต่อย่ากดดันเด็กๆจนเกินไป
บทความอื่นๆ
บทความที่ผ่านมา Series samsen2U
ตอนที่ 1 – เป้าหมาย
ตอนที่ 3 ลูกสนใจแพทย์รอบ portfolio … เอาละสิ !!
ตอนที่ 4 หาข้อมูล…หมอรอบ portfolio
ตอนที่ 5 — ทำไมถึงต้องเป็นรอบ PORTFOLIO