เพื่อนเรียนของลูก
เพื่อนเรียนของลูก เป็นอย่างไรบ้างคะ? สังคมโดยรวมเป็นอย่างไร? เด็กเกเรเยอะมั๊ย? มีเรื่องชกต่อยกันบ้างป๊ะ? แล้วมีปัญหาเกี่ยวกับบุหรี่หรือยาเสพติดหรือปล่าว? วิชาการเห็นบอกว่าเรียนหนักจริงหรือปล่าว? คุณพ่อโอเคกับที่นี่ไหมคะ? ตกลงที่ผ่านมาน้องชอบเรียนที่ EP สามเสนมั๊ย?อีกหลากหลายคำถามที่หลายๆผู้ปกครองถามผมมาตลอดช่วงหลายๆเดือนมานี้ เข้าใจเลยครับว่า เพื่อเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจที่จะเลือกให้ลูกของท่านสมัครเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในชั้น ม.1 เพราะตัวผมเอง ณ ช่วงเวลานั้นก็ขบคิดเรื่องต่างๆเหล่านี้ แต่ไม่รู้จะไปถามใคร !!! วันนี้ผมก็คิดถึงวันนั้น วันที่ผมไม่รู้จะไปถามใคร จึงรวบรวมที่หลายๆท่านถามมาคล้ายๆกัน มาตอบเท่าที่ผมทราบ เท่าที่สองตาจะเห็น และ เท่าที่สองหูจะได้ยิน ที่สำคัญที่สุดก็คือ เท่าที่ใจจะสัมผัสได้
ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่เราเฝ้าจับตามอง และ เข้าใจว่าผู้ปกครองทุกๆท่านก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะอะไรเหรอ? เพราะความเชื่อจากประสบการณ์ที่ไม่ได้อิงวิชาการของผมสัมผัสมาได้ว่า เพื่อนช่วงชีวิตมอต้น เป็นเพื่อนที่ยั่งยืนที่สุด เป็นเพื่อนที่จะชักนำวิถีชีวิตเรา หรือบางครั้งอาจพูดว่าเป็นเพื่อนที่กำหนดอาชีพในอนาคตเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าอยากมีอาชีพตามเพื่อนนะ เพราะว่าช่วงเวลาของชีวิตตอนนั้น เราเริ่มคิดเองได้แล้วว่าความสามารถเราได้มั๊ย ความชอบเราเป็นอย่างไร แต่การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามประสาเด็กช่วงวัยนั้นมันซึมซับเข้าไปว่าเราชอบไม่ชอบอะไร ตรงนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่เป็นมนุษย์พ่อ และ ก็พยายามมองลงมาสู่ชีวิตลูก มีทั้งต้องเข้าไปพูดคุยสอนแนะนำ มีทั้งปล่อยให้พวกเขาเผชิญและแก้ไขปัญหากันเอง เพราะเด็กวัยนี้ เป็นวัยที่เริ่มไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของพวกเขาเท่าไหร่แล้ว แต่เขาก็รับรู้และเปิดแก๊ปเปิดช่องว่างให้เราสอดแทรกเข้าไปได้บ้าง เพราะช่วงเวลาแห่งการกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่วัยรุ่นกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นเราไม่สามารถปล่อยไปได้เลยทั้งหมด
ลูกของเรา
แน่นอนว่า เราต้องรู้จักลูกของเราก่อน ผมรู้และพอจะดูออกถึงข้อดีข้อเสียของลูกได้จำนวนนึง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อก่อนลูกชอบถามโน่นถามนี่ถามตลอดเวลา เราก็ยินดีที่จะตอบ ทุกวันนี้ลูกก็ถาม แต่อาจจะน้อยลงบ้าง แต่ทุกครั้งที่ลูกถามเราจะรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างหนึ่งคือเรารับรู้ว่าเขาไว้ใจเรา อีกหนึ่งในหลายๆอย่างก็คือเรารู้ถึงความคิดของเขาได้ในอีกระดับหนึ่ง
ในช่วงเปลี่ยนถ่ายช่วงวัยนี้ มีหลายเรื่องที่ต้องระมัดระวังมาก ทั้งในเรื่องของเพศ และ เพศตรงข้าม เรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนสำคัญกับชีวิตของพวกเขา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะดึงลูกออกห่างไปจากเรา ทั้งในเรื่องของความใกล้ชิดและในเรื่องของข่าวสาร ทุกวันนี้ผู้ปกครองพูดกันตรงๆว่ามีปัญหากับการใช้งานเทคโนโลยีของลูกๆ การสื่อสารกันเองผ่าน Social Media ทำให้เราอาจจะขาดการรับรู้(สักนิดหน่อย)ในบางเรื่องไปบ้าง
ทุกวันนี้ ผมก็ชวนลูกคุยอยู่บ่อยๆ เรื่องโน่นนี่นั่น เรื่องเพื่อนบ้าง เรื่องไรบ้าง ไม่ใช่ไรหรอก ทำให้เรารู้จักเพื่อนๆเขามากขึ้น และที่สำคัญสัมผัสถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเพื่อน
จริงๆแล้ว ลูกเราเองก็มีข้อเสียหลายอย่าง บอกตรงๆว่า ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรซ๊ะด้วยซ้ำไป บางครั้งก็แอบยืมมือคนอื่นช่วยแก้ปัญหาก็มี ก็จะต้องแก้กันไปทีละเปาะ แต่เชื่อเหอะ แก้ยังไงก็แก้ไม่หมด เพราะบางเรื่องกลายเป็นนิสัยไปแล้ว แฮะๆ
เพื่อน EP สามเสน
ถ้าใครตามอ่านที่ผมเขียนมาตั้งแต่เมื่อกว่าปีที่แล้ว คงสัมผัสได้ว่า ผมมีความพึงพอใจต่อสถานที่เรียนของลูกในระดับสูง อันเนื่องมาจากว่าไม่คาดคิดว่าฝันที่พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกตั้งไว้จะเป็นจริง ดังนั้น หลังจากที่ลูกเข้ามาเรียนที่นี่แล้ว ก็คิดว่าสิ่งแวดล้อมที่นี่น่าจะช่วยให้ตัวเขาเดินก้าวไปข้างหน้าได้ในระดับที่เราไม่ต้องห่วงใยมากนัก เพราะถือได้ว่าการสอบคัดเลือกเข้ามา ก็ถือว่าเป็นการกรองเด็กๆมาในระดับหนึ่งแล้ว
สามเทอม หรือ หนึ่งปีครึ่งผ่านไป ผมถือว่า สิ่งที่ผ่านๆมาอยู่ในระดับ น่าพึงพอใจ “ตามมาตรฐาน” ของผมเอง ในแง่ของเพื่อนๆ ที่ทั้งสนิทและไม่สนิท เพื่อนที่ทำงานกลุ่มด้วยกัน เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนต่างห้อง แต่ตัวเราก็พร่ำบอกพร่ำสอนลูกอยู่ตลอดเวลาว่า เรียนไม่เก่งไม่ได้เกรดดีดีไม่สำคัญ(เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ประถมก็เป็นเช่นนี้แล) แต่ให้ประคองเอาตัวรอดให้ได้ และที่สำคัญก็คือ ความร่วมมือในงานกลุ่ม งานห้อง ต้องใส่ใจให้เต็มที่ ด้วยความที่ว่าเราเป็นนักกิจกรรมมาตลอดตั้งแต่เรียนระดับมัธยมยันมหาวิทยาลัย ก็เลยอยากให้ลูกสนใจในกิจกรรมกลุ่มด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีมากน้อยขนาดไหน ก็ไม่ได้อยากไปกดดันอะไรมาก แค่ชี้แนะ และมองอยู่ห่างๆ
แต่เท่าที่สังเกตุมา ลูกมีความสุขมากกับการเรียนที่นี่ ตลอดสามเทอมที่ผ่านมา ไม่เคยขาดเรียน ไม่เคยไปสายแม้แต่วันเดียว
เพื่อนสนิทก็มีอยู่สองสามกลุ่มแล้วแต่สถานการณ์ แต่ที่สนิทมากก็เป็นกลุ่มเล่นเกมส์ด้วยกัน เวลาเขานั่งเล่นเกมส์กัน เราก็นั่งเขียนอะไรไปเรื่อยๆอีเหละเขะขะแบบนี้แหละไปเรื่อยๆอยู่ข้างๆเขา ก็จะได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง อยู่เนืองๆ แต่ที่ฟังแล้วก็ยังรู้สึกดีก็คือ ไม่ได้คุยเล่นเรื่องเกมส์กันอย่างเดียว ก็ยังมีการคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการใช้โปรแกรม เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เออ…เฮ๊ยยยย ไม่ธรรมดาหวะ พอช่วงสอบ ก็มีการติว Online กันด้วย ใช้โปรแกรมอะไรกันบ้างเราก็ตามไม่ทัน ประชุมสายผ่านทาง Line หรือ popcorn อะไรทำนองนั้น ใช้ teamviewer อะไรเยอะแยะมากมาย
ปัจจุบันใช้ Skype ในการสื่อสารพูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องโน่นนี่นั่น (ถึงแม้จะหนักไปทางเกมส์ แต่ก็มีเรื่องดีดีน๊ะ แฮะๆ) ปัจจุบัน ลูกเราก็มีความสามารถในการตัดต่อคลิปวิดีโอ(ในรูปแบบที่เราก็อยากจะทำแต่ทำไม่เป็นทำไม่ได้ อายเลย) ใช้เป็นทั้ง After effect ใช้ได้ทั้งพวก Adobe ซึ่งแทบทุกอย่างก็มาจาก Youtube และ กลุ่มเพื่อนๆ จนเราเองก็รู้สึกทึ่ง
อ้อ… ลืมไปเรื่องนึงที่ตอนเข้ามาที่ EP สามเสนใหม่ๆแล้วรู้สึกอึ้งก็คือ ภาษาการพูดจา มาแนวภาษาพ่อขุนกันหมดเลย ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย คือลูกเราจบประถมมาไม่เคยใช้เลย มาที่นี่…แบบว่า เปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เราก็เฝ้ามองดูห่างๆ มีโอกาสก็แกล้งถามไปว่า “มีใครไม่ใช้ภาษาแบบนี้มั่งมั๊ย ที่โรงเรียน” ตามด้วย “ใช้ได้ ไม่ได้ห้าม แต่ให้ถูกกาละเทศะ เท่านั้นเอง” เพราะมองย้อนกลับไปชีวิตเรา … ก็ไม่ได้แตกต่างกัน 5 5 5
แต่ที่ยังโอเค ก็คือ พวกเขารู้ตัวโดยไม่ต้องบอกกล่าว ในการเลือกใช้เวลาไหน กับใคร เราก็แค่แอบมองอยู่ห่างๆ … แต่ พอขึ้น ม.สอง มานี่ กลับมีการใช้ภาษาพ่อขุนลดน้อยถอยลง (หรือปล่าว?) จากการสังเกตุของเราเอง … ไม่เป็นไร …
สรุป
เกริ่นมาตั้งนาน ความจริงมาอ่านสรุปตรงนี้เลยก็ได้ อิอิ
- ผมมีความพอใจในระดับสูง กับสิ่งที่ลูกเป็นอยู่ กับสิ่งแวดล้อมที่ลูกกำลังสัมผัส กับเพื่อนๆของเขา ทั้งชายและหญิง ทั้งในห้องและต่างห้อง ทั้งในโครงการอีพีและนอกโครงการอีพี ในสถาบันการศึกษานี้
- ความยากในการสอบคัดเลือกเข้ามาเรียน ไม่ว่าจะเป็น EP, MSEP, ESC หรือสายสามัญ เปรียบเสมือนการกรองเด็กนักเรียนมาในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด แต่การกรองนั้นก็จะทำให้ได้เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันมากนัก
- ผมเชื่อว่า ไม่ทุกคนที่คิดแบบผม เพราะแต่ละคนแต่ละครอบครัว มีเป้าหมาย มีแนวการดำรวค์ชีวิตที่แตกต่างกัน บางทีลูกมีความสุขแต่พ่อแม่อาจจะไม่สุขด้วย สุดแท้แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิ์คิดต่าง ทุกคนมีสิทธิ์เห็นต่าง แต่ทุกความคิดเห็นที่แตกต่างย่อมมีทางออก
- ผมเชื่อว่า ในสถาบันหรือโรงเรียนอื่นๆ ก็มีสิ่งดีดีเกิดขึ้นกับเด็กๆเช่นเดียวกันกับที่นี่ อาจจะมีมากกว่า มีน้อยกว่า ทั้งนี้ก็อยู่ที่เราจะปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงที่เผชิญอยู่ อย่างไร !
- ผมแทบไม่เห็นสังคมเด็กเกเร และ ปัญหายาเสพติดเลย คือผมบอกไม่ได้ว่ามีหรือไม่มี แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยเจอเลย !!! จะบอกว่าปีที่แล้วผมใช้เวลาอยู่รอบๆโรงเรียนลูก และในโรงเรียนด้วยเยอะมาก เพราะบ้านเราอยู่ไกล บางครั้งเช้ามาส่งก็จะใช้เวลาอยู่แถวๆนี้เพื่อรับกลับตอนเย็น ซึ่งตลอดเวลาที่ป้วนเปี้ยนไปมานั้น ไม่เคยเจอะเจอกับภาพที่ไม่ประทับใจเลย
- ประทับใจในการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยกันในการติวก่อนสอบ ทั้ง Skype, popcorn, line, teamviwer ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าได้ผลมากน้อยขนาดไหน หรือว่านั่งอ่านเงียบๆจะดีกว่า แต่สิ่งที่ได้เห็นผมรู้สึกดี ไม่ว่าคะแนนหรือเกรดจะออกมาอย่างไร เพราะได้ยินพวกเขาแนะนำกัน โต้เถียงกัน หรือ อธิบายในสิ่งที่ตัวเองรู้ แลกเปลี่ยนกันไปมา …
- เห็นการทำงานกลุ่มผ่านทางเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ทั้งการตัดต่อคลิปวิดีโอ ทั้งการทำรายงาน การประชุมกลุ่ม ฯลฯ บางครั้งนั่งทำกันถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง เราก็ทนนั่งทำงานอยู่ข้างๆได้ 5 5 5 ในใจก็นึกเหมือนกันว่า มันจะหนักไปไหม แต่ก็ยอมเพราะเชื่อว่าจะสร้างความแกร่ง ความอดทน ความมุ่งมั่นให้กับลูกและเพื่อนๆ ที่สำคัญ เด็กๆนั่งทำงานอยู่ที่บ้านของตัวเอง เราก็สบายใจไปเปาะหนึ่งแล้ว
สนใจบทความเกี่ยวกับการเรียนการสอบเข้า EP สามเสน ตามไปที่ LINK นี้ได้เลยครับ
เรื่องเรียนของลูก :: รวบรวมบทความ “สอบเข้า EP สามเสน“
PRETEST สามเสนวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2560