เรื่องของเรื่องก็คือการยื่น portfolio โดยเฉพาะของคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ หรืออื่นๆที่ส่วนใหญ่มองว่า ต้องมีโครงงาน หรืองานวิจัย . . . . แต่ โรงเรียนทั่วไปที่ไม่ใช่โรงเรียนวิทยาศาสตร์หรือนักเรียนที่ไม่ได้อยู่ห้องเรียนพิเศษที่มีการทำโครงงานหรืองานวิจัยอยู่แล้ว “คงยาก” ที่จะหาสิ่งเหล่านี้เข้ามาประดับไว้ใน Portfolio
วันนี้ไม่ได้มาแนะนำหรอกนะครับว่า เราจะสามารถหาทำงานวิจัยอะไรที่ไหนได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆที่เรียนโรงเรียน/แผนการเรียนที่ไม่ได้มีโครงงาน/งานวิจัย/นวัตกรรม ข้องเกี่ยวอยู่ในหลักสูตร
แล้วทำไมต้องทำ? ทำไมต้องหาทำ? ไม่ทำได้ไหม? หาอย่างอื่นทดแทนได้ไหม? ฯลฯ
ซึ่ง คหสต.แล้ว . . . . ย่อมได้ เพราะที่ผ่านตามา หลายๆคนที่ผ่านการคัดเลือกก็ไม่ได้นำเสนองานวิจัย
แต่..มาถึงทุกวันนี้ หลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “จัดหา” “หาทำ” “หาให้” “จัดให้” …… ฯลฯ ก็มักจะยัดเยียดข้อมูลใส่หัวเด็กและผู้ปกครองว่า “ของมันต้องมี” โดยยกตัวอย่างเด็กที่ผ่านการคัดเลือกที่มีพ่วงดีกรีงานวิจัยเอาไว้หลายๆคน
จริงๆแล้ว เรื่องนี้มี ผปค.มาปรึกษา/สอบถาม ผมว่า มันโอเคไหม? เพราะค่าใช้จ่ายก็มิใช่น้อย! และมีคนลงโปรแกรมนี้เยอะมาก ทั้งเพื่อนๆลูก และเด็กโรงเรียนอื่นๆ
ผมก็ได้แต่ให้ข้อคิดทั่วๆไป โดยมิได้ลงรายละเอียด เพราะไม่ได้เข้าไปอ่านข้อมูลย่อยๆว่า “ถ้าเป็นลูกผม ผมไม่ให้ทำ !” เพราะถ้าฟังรายละเอียดไปเรื่อยๆแล้วจะรู้สึกว่า มันไม่ธรรมดา !!!
แต่พอมี ผปค. รายที่ 2 รายที่ 3 มาปรึกษาขอความเห็น ก็เลยลองคุยดูสักตั้งนึง ถึงกับอึ้ง !!!
อยากให้อาจารย์ที่พิจารณาพอร์ตรับรู้ไว้
ถามว่า . . . ทำไมผมต้องอึ้ง? ก็จะเล่าตามที่ผู้ปกครองหลายๆท่านมาเล่าให้ฟัง เป็นสถาบันติวเตอร์ที่อยู่ชายขอบกรุงเทพมหานคร ซึ่งผมก็ไม่รู้จักก็เลยบอกว่าไม่ต้องบอกว่าที่ไหน เพราะไม่อยากรู้ และทราบว่าอาจมีหลายสำนักเสียด้วย
เอาเป็นว่า ผมพยายามเรียบเรียงข้อมูลที่คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองได้เล่าให้ฟังนะครับ
“สวัสดีครับ จะขอเรียนปรึกษาเรื่องการทำโครงงานเพื่อยื่นพอร์ตหมอหน่อยครับ”
บทสนทนาเริ่มต้นก็ดูปกติดี คล้ายๆกับอีกหลายๆ ผปค. ที่เข้ามาขอคำแนะนำ
คือได้ไปลงทะเบียนติวกับสถาบันติวเตอร์เอกชนไว้ มีค่าใช้จ่าย หกหลักพลัส (เฉพาะโครงงาน 1 ผลงาน) พอดีเห็นว่ามีนักเรียนมาลงโครงการนี้จำนวนมาก เป็นลักษณะโครงงานนานาชาติ โดยครอบคลุมเนื้องานประมาณนี้
- เข้าร่วมประกวดงาน Online 3 งาน และ Onsite 1 งาน (สนามต่างประเทศเน้น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปิน ประมาณนั้น สังเกตุดูว่าจะไม่ลงสนามในประเทศ)
- ค่าใช้จ่ายจะรวมถึงค่าสมัคร ค่าเอกสาร paper ที่สถาบันจัดทำให้ การ Traiin ให้ทุกอย่าง รวมทั้งการเตรียม Script ให้เราท่องเพื่อใช้ในการ present โครงงาน
- ถ้าเป็นการประกวด Onsite ต่างประเทศ จะไม่รวมค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหารและอื่นๆถ้ามี
- ในการส่งประกวด นักเรียนจะไม่ได้ใช้ชื่อโรงเรียนของตัวเอง แต่ใช้เป็นชื่อของสถาบันติวเตอร์ เช่นสมมติว่าเราเรียนอยู่ สวนนนท์ สตรีนนท์ สามเสน สวนใหญ่ โยธิน หรืออะไรก็ตาม ก็ต้องมาใช้ชื่อของสถาบันติวเตอร์เช่น สถาบันติวเตอร์พี่กุ๊กกิ๊ก ก็ส่งในนาม โรงเรียนกุ๊กกิ๊ก Kuk Kik School ซึ่งถ้าเป็นสนามแข่งขันต่างประเทศก็คงไม่ค่อยมีประเด็นอะไร เพราะเขาไม่รู้ ไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นสนามในประเทศ Question มาเป็นแถวตั้งแต่เริ่มแล้ว
- ที่ผ่านมาก็มีเด็กๆได้รับรางวัลจากสนามต่างประเทศเหล่านั้นมากมาย
โอเค ฟังมาถึงตรงนี้ ก็มีคำถามและข้อสังเกตุเกิดขึ้นในหัวมากมาย เช่น
- ส่งแต่สนามต่างประเทศและเน้น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทุกทีมที่ส่งก็ต้องได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือมาหรือไม่ (เท่าที่สังเกตุมา 2-3 ปี)
- แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกผลงานที่ส่งไปประกวดสนามนั้นๆจะเป็นแบบนี้หมด หลายๆผลงานเด็กๆก็ทำด้วยความสามารถตนเอง
- ทำไมไม่ส่งสนามที่มีความเป็นมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และ มีประวัติ ชื่อเสียงมายาวนาน เป็นที่ยอมรับจากวงการการประกวดโครงงานและงานวิจัย
- สถาบันเตรียมโครงงานให้ เตรียมสคริปให้ ถามว่า แล้วตัวเด็กนักเรียนได้ทำอะไร หรือ ต้องทำอะไรบ้าง
ก็เลยถามไปที่ผู้ปกครองว่า เด็กนักเรียนต้องทำอะไรบ้าง? ถ้าเขาเตรียม Paper เตรียม Script ไว้ให้หมด
คำตอบเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม หรือ น่าตกใจกันแน่ !!!
“เรามีหน้าที่ฝึกซ้อมตามที่เขาบอก เช่นเมื่อเขาทำ paper เรียบร้อยแล้ว และส่งชิ้นงานไปตรวจ lab เมื่อได้ผล lab มา ก็จะให้นักเรียนมาเรียนรู้ว่าทำไมถึงได้ผล lab ตามนี้ และใช้เครื่องมืออะไรทำอะไรบ้าง ประมาณนั้น”
“ส่วน Script ก็จะมีบทเขียนให้เลยว่า ใครต้องพูดอะไรตอนไหนในตอนที่ present งาน (แสดงว่าหนึ่งโครงงานมีหลายคน) และจะมีคำถามคำตอบที่คิดเผื่อเอาไว้ก่อนแล้วส่วนหนึ่ง เวลากรรมการถามจะได้ตอบได้”
ลักษณะนี้ ถ้าเข้าสัมภาษณ์รอบทวนพอร์ตหรือรอบตรวจประเมิน Portfolio ของแพทย์รามา ผมว่าอาจารย์น่าจะซักได้จนมุม และ/หรืออาจจะอ่านออกตั้งแต่ที่เขียนใน Portfolio แล้วด้วย
อันนี้สำคัญสุด !!! กรณีที่เราตกลงปรงใจที่จะลงโครงงานนี้ “จะต้อง” ทำสัญญาผูกมัดว่า ไม่ให้พูดและบอกกล่าวรายละะเอียดกับบุคคลภายนอกและต้องทำตามกฏระเบียบของเขาอย่างเคร่งครัด และไม่การันตีว่าจะต้องได้รับรางวัลอย่างแน่นอน
มาถึงตรงนี้ ผมเรียนตามตรงนะครับว่า พูดไม่ออก
ในฐานะครูคุณจะไม่มีคำว่าจริยธรรมของความเป็นครูหลงเหลืออยู่แล้ว และจะมองหน้าเด็ก/ผู้ปกครองได้อย่างไร?
ในฐานะเด็กนักเรียนถ้าเริ่มต้นชีวิตก็เดินแบบนี้แล้ว มันจะเป็นรอยบาปตราตรึงในหัวใจคุณไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ และ ที่น่ากลัวคือ เมื่อโตขึ้นออกไปประกอบอาชีพการงาน(ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม) เรื่องนี้เป็นบทเรียนหรือแบบแผนให้คุณประพฤติมิชอบเป็นปกติวิสัยหรือไม่? ก็ยังน่าเป็นห่วง !!!
งานวิจัยที่ไม่ต้องวิจัย !!!
จึงเป็นที่มาของหัวข้อนี้ว่า “ทำอย่างนี้ก็ได้หรอ?”
เอ๊ะ หรือว่า โครงงานหรืองานวิจัย เขาก็ทำกันอย่างนี้อยู่แล้ว? พอดีผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลย !!!
- ไม่ต้องลงไม้ลงมือเอง
- รออ่านและท่องตาม script ที่เตรียมเอาไว้ให้
- อย่างน้อยก็ต้องมีรางวัลบ้างละ ไม่ว่าจะเป็นการประกวดแบบ Online ก็จะยิ่งง่ายใหญ่ ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า หรือการประกวด Onsite ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้แพงมากนักเพราะเป็นอินโดนีเซีย / มาเลเซีย ไม่ได้ไปประกวดที่อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี หรือที่อื่นๆ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่า
- อย่างที่บอก ไม่ส่งแข่งในประเทศ เพราะสนามในประเทศจะโดนถามโดนซักและมองออกได้โดยง่ายว่าเป็นโครงงานที่ทำเองหรือไม่ แต่สนามมาเลเซีย อินโดนีเซีย หลายสนามก็ไม่สามารถตรวจสอบเราได้ และให้ความเชื่อใจ หรือไม่ก็ละเลยที่จะทำ
- ที่น่าแปลกใจสุดๆก็คือ ไม่ได้ใช้ชื่อโรงเรียนของเด็กนักเรียนเอง แต่ใช้ชื่อโรงเรียนของสถาบัน เพราะถ้าใช้ชื่อโรงเรียนของนักเรียนจะทำให้มีข้อสังเกตุมากยิ่งขึ้น อย่างที่เคยเป็นเรื่องมาแล้ว คือ เด็กที่ร่วมโครงงาน มาจากโรงเรียนที่แตกต่างกัน และ มาจาก ต่างจังหวัดกัน ต่างภาคกัน (ในอดีตที่เคยเป็นเรื่องคือ หนึ่งโครงงาน ที่พร่ำบอกว่าใช้เวลาในการทำโครงงานติดต่อกันหลายเดือน แต่เด็กๆมาจากหาดใหญ่ เชียงราย ร้อยเอ็ด ชลปุรี ฯลฯ ซึ่งความเป็นจริงแล้วน่าจะทำได้ยาก และบางโครงงานมีมากถึงเกือบ 20 คน)
บริการอื่นๆ ก็ยังมีอีกนะครับ ตามความต้องการของตลาด
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงแค่เรื่องโครงงาน หรือ Project หรือ งานวิจัย Innovation เป็นชิ้นๆนะครับ ถ้าใครอยากได้บริการเสริมก็มีให้เลือกใช้บริการหลากหลายรูปแบบอีกเช่น
- แบบ Full Package เลยก็มีนะ ราคาก็น่ารักจุ๋มจิ๋ม 300K-400K++ (แต่ต้องบอกว่า คนไทยรวยจริง การลงทุนกับลูกเหมือนการซื้อประกันชีวิตประกันสุขภาพเอาไว้ใช้ยามแก่เฒ่า) ซึ่งรวมไว้ให้หมดทั้งวิชาที่ต้องใช้ในการสอบ ทั้งการเตรียมสอบ MMI(แบบรวมเลย จะได้สอบ MMI หรือไม่ได้สอบไม่รู้เก็บก่อนละ) แต่ไม่ได้รวมโครงงาน(ที่กล่าวมาข้างต้นอีกหกหลัก)และอื่นๆอีกหลายอย่างหลายเรื่อง เช่น
- การฝึกประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ หรือที่เราเรียกกันว่า med shadowing นั่นแหละครับ เขาจะมีดีลกับทาง ร.พ.ที่ ตจว. ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย แต่ที่ฮากว่าก็คือ ไปทำกิจกรรม 3 วัน เพื่อถ่ายรูปโน่นนี่นั่น แต่ใบ Certificate ที่ได้จากโรงพยาบาลระบุว่าได้มาร่วมฝึกงานกับทางโรงพยาบาล 200 ชั่วโมง ผมก็นึกไม่ออกว่า 3 วัน ต้องคูณด้วยวันละกี่ชั่วโมงถึงได้ 200 ชั่วโมง !!!
- มีไปทำ Lab ตามมหาวิทยาลัย ซึ่งอันนี้พอเข้าใจได้ เพราะเห็นเปิดเป็นการทั่วไปอยู่หลายมหาวิทยาลัย แต่ แต่ แต่ ค่าใช้จ่ายทำไมมันต่างกันจัง
- คอร์สเตรียมสอบคะแนนมาตรฐานภาษาอังกฤษ(ตัวนั้นแหละ..) ก็มีนะครับ แต่ถ้าเป็นแบบตัวๆราคาก็หกหลักต่อคน ไม่รับรองผลนะครับว่าจะได้เท่าไหร่
- ทราบว่ามีเด็กโรงเรียนดังๆ มาใช้บริการกันเยอะมาก
- จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผู้ปกครองเล่ามาให้ฟัง แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดถึงบ้าง และหรือจำไม่ได้อีกหลายเรื่อง
. . . . .
เด็กทุกคนมีที่ที่เหมาะสมกับตัวเองที่จะได้เข้าไปเรียน เพื่อเติบโตไปเป็นกำลังที่สำคัญของครอบครัว ถ้าไม่ใช่ที่ของเราแต่เราได้มาด้วยความมิชอบ ก็พึงระวังว่าอนาคตจะบิดเบี้ยวไปจากที่ควรจะเป็นหรือไม่







