“ลุง ลุง … มาคนเดียวหรอ มันชันและอันตรายมากนะครับ”
บุรุษหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะเป็นไกด์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทักเรามาตอนที่สวนกันระหว่างการเดินทาง …
เป็นคำทักทายที่ทำให้ผมอึ้ง และเกือบจะหันหลังกลับในทันทีทันใด
ไม่ใช่ความกลัวที่เขาบอกว่า มันชันและอันตรายมาก
แต่เป็นคำพูดที่เรียกเราว่า ลุง ลุง ….
เห้ย ไอบ่าว … รู้ได้ไงฟ๊ะว่าเราอายุเยอะแล้วถึงเรียกเป็นลุง (คิดในใจ น๊ะ)
เอาละ … เกษียนแล้วไปไหน …… มาที่นี่เลย จะไหวมั๊ย
ใช่แล้ว … เรามาที่นี่ “อุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาค หาดทับแขก จังหวัดกระบี่”
เป็นการมาที่นี่โดยบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้วางแผน ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ไม่รู้จัก ไม่มีข้อมูลมาก่อน
เนื่องจากว่า มีช่วงเวลาเหลือว่างๆ ไม่ได้มีแผนว่าจะไปทำอะไรที่ไหน ก็เลยขับรถไปเรื่อยๆ โดยกะว่าจะแฉลบไปทางหาดทับแขกซ๊ะหน่อย เห็นมีหลายต่อหลายท่านบอกว่า สวยมากมาย
ก็ได้มายล มาชมสมความตั้งใจ เห็นถนนหนทางข้างหน้ายังไปได้อีก ก็ขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทางตันที่ อุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาค (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้จักหรอกครับ เพิ่งมาหาข้อมูลทีหลัง ผมยังเรียกอุทยานทับแขกอยู่เลย) ก็เลยจอดรถลงไปถามคนที่นั่งอยู่ตรงศาลาตรงนั้น (มีอยู่ 2 คน) ว่า
“ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้างครับ”
พี่ท่านก็ตอบว่า “ก็ขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาครับ สวยมาก”
เอาหละสิ … ต่อมความอยากมาทันทีเลย “แล้วไปไกลไหมครับ”
“ก็ ประมาณ 3.7 กม. ครับ”
โห … 3.7 กม.เองหงะ ก็ประมาณจากบ้านเราไปปากซอยใหญ่เอง …. ว่าแล้วก็คิดคำนวนใหญ่เลย บวกลบคูณหาร …. อืมมมม น่าจะพอมีเวลาเหลือเฟือ กว่าจะถึงเวลานัดก็อีก 4 ชั่วโมง เวลาเหลือๆ 5 5 5 อย่างนี้ต้องลุย นะสิ
(แต่เจือกไม่ได้ถามเขาว่า เส้นทางเป็นอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่)
อุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาค
มาทำความรู้จักกับอุทยานแห่งนี้กันคร่าวๆก่อนครับ (ผมกลับมาถึงบ้าน ก็เลยรีบหาข้อมูลเลยว่า ที่นี่มันคือที่ไหน อะไร อย่างไร …ปรากฏว่า น่าสนใจมาก ก็เลยเก็บข้อมูลมาฝากกันครับ)
เขาหงอนนาค ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แบบว่าเพิ่งค้นพบ แต่เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในหมู่คนชอบเที่ยวแบบขาลุย พวกชอบผจญภัยในป่า และที่แน่ๆ ชาวพื้นเมือง ชาวกระบี่ก็ย่อมรู้จักดี
ซึ่งเขาหงอนนาคนี้ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ที่นี่เป็นหน่วยย่อย เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเรียกง่ายๆว่า อุทยานหาดทับแขก
เส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาหงอนนาค มีระยะทางการเดินประมาณ 3.7 กม. ซึ่งตลอดเส้นทางเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้ที่รู้จักและไม่รู้จักมากมายตลอดทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก เขาว่ากันว่ามีสัตว์ป่าหลากหลาย แต่เราเจอที่เป็นตัวๆก็ นก กับ แมลงปอ ส่วนที่เป็นเสียงนั้น มีทั้งเสียงนก เสียงอะไรก็ไม่รู้โหยหวนชวนขนลุก
ช่วงเวลาแห่งความสุขที่นักผจญภัยส่วนใหญ่ชอบมาชมความสวยงามที่หาที่เปรียบไม่ได้ก็คือ ช่วงเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น และช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์ตก …. แต่ มันไม่ง่ายขนาดนั้น นะครับ ต้องอ่านกันต่อไป …
การเดินทาง
เราเดินทางมาจากอ่าวนางที่ Red Ginger Chic Hotel เลี้ยวเข้าถนนคลองแห้ง วิ่งไปจนสุดก็จะมาเจอถนนสาย 4203 ก็วิ่งตรงไปอีก เมื่อเจอทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้า บ้านนาตีน เราก็ไปตามนั้นเลยครับ
คราวนี้ก็วิ่งไปเรื่อยๆเลยครับ จนไปเจอถนนสาย 6024 คราวนี้ก็ง่ายเลยครับ ยาวตลอด มองหาป้ายจะไปทับแขกตลอดทาง จนไปสุดสายที่ที่ทำการย่อยอุทยานแห่งชาติเขาหงอนนาค ครับ
เอาให้ง่าย ลองดูตาม map ที่แชร์เอาไว้เลยดีกว่าครับ แฮะๆ
ผมปักหมุด สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ที่รู้จักไว้ใน Google Map นะครับ เผื่อบางท่านสนใจ จะได้ค้นหาได้สะดวกครับ
https://www.google.com/maps/d/edit?mid=zwW0S3GJ40JY.kildd3QmC8Mo&usp=sharing
ไปกันเหอะ …
มาลุยป่าปีนเขากันเลยดีกว่า ขอเล่าแบบว่าตอนนั้นยังไม่รู้ข้อมูลว่าที่นี่เป็นอย่างไรนะครับ แบบว่าชิลมาก
หลังจากคุยกับพี่ที่ดูแลอุทยานแล้วว่าระยะทางประมาณ 3.7 กม. ก็กระหยิ่มใจ จิ๊บๆ
อ่อ ในรถมีน้ำเหลืออยู่ครึ่งขวด หยิบๆไปด้วย เผื่อหิวน้ำ …
พร้อมแล้ว เตรียมเดินขึ้นเลย…..
” เดี๋ยวก่อนครับ ๆ มาลงชื่อก่อนครับ” (น่าจะบอกให้สั่งเสียด้วยเลยครับ คุณพี่ อิอิ)
“ มีน้ำขึ้นไปแล้วยังครับ”
แห่มเราเพิ่งหยิบมา “มีแล้วครับ ขอบคุณครับ” (มารู้ทีหลังน่าจะซื้อใหม่อีกขวดเลย แทบลากเลือด)
…. เหมือนเป็นเสียงเตือน … แต่ไม่ได้เอะใจเล๊ยยยยยยยย…….
เสร็จแล้ว … เราก็เดินไปตรงทางขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง
พี่เขา คงมองตามหลังด้วยสายตาเวทนาหรือปล่าวน้อออออออ…. ไม่หรอกครับ พี่เขาใจดี อัธยาศัยดี … (มารู้ทีหลังมีแต่คนแนะนำว่า ควรติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ในการเดินป่า…เพราะมันโหดดดด มากกกกก 5 5 5)
จอดโดดเดี่ยว เดียวดาย ….
ข้อมูลชิ้นเดียวที่มีตอนนั้น ก็คือแผนที่อันนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจอีก เพราะกะว่าชิลๆ ไปกลับน่าจะแป๊บเดียว
ตอนนั้น…บอกตรง … ชิลมาก แป๊บเดียวก็น่าจะถึง
ทางเดินแบบนี้ สบายมาก… เหมือนเป็นทางรถวิ่งอยู่น๊ะ สงสัยจะเคยมีรถ 4W วิ่งขนของเข้ามาแน่
ให้เข้ากับชื่อว่า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ก็จะมีป้ายข้อมูลความรู้ของทรัพยากรบริเวณนั้นๆ เราก็ใช้เป็น Mile Stone ซ๊ะเลย … แต่มันไม่ได้เว้นระยะเท่าๆกันนะสิ บางช่วงหายไปจนลืมเลย
เริ่มไม่ง่ายแล้วแฮ๊ะ เวลาเดิน ต้องมองหาจุดวางเท้าให้ดีดี ไม่งั้นมีขาพลิกแน่
มาได้สักพัก …ก็เริ่มรู้สึกว่า มันไม่ธรรมดาแล้ว … แวะพักข้างทางก่อน
บางช่วง สัญญาณโทรศัพท์กลายเป็น No Service แต่ช่วงตรงนี้ ยังพอมองเห็นท้องฟ้า สํญญาณมา 2 ขีด แต่ที่แย่กว่านั้น แบตเตอรี่เหลือ 10% เอาละหว่า power bank ก็อยู่ในรถ …
จำได้คร่าวๆว่า เดินมาถึงจุดนี้ เจอสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ 2 คนแรก เป็นเด็กสาววัยรุ่นร่างท้วม เสื้อผ้ามอมแมมอย่างหาที่เปรียบมิได้
ตอนนั้น … แบบว่าเริ่มหมดแรง น้ำลายเหนียวแล้ว
“อีกไกลไหมครับ”
… ไกลมากเลยคะ …โหดสุดๆด้วย
ดูจากเสื้อผ้าเนื้อตัว..ก็เชื่อละครับว่าโหดแน่ …. ตอนนั้น เริ่มงงกับทางเลือกตัวเองแล้ว
อืมมมม … ในขณะที่เราเริ่มหมดแรงแล้วเด็กๆบอกว่าอีกไกลมาก แต่เด็กสาวยังไปกลับมาได้เลย ทำไมเราจะไปไม่ได้
(มาดูแผนที่เอาทีหลังจึงรู้ว่า เพิ่งจะมาแค่ประมาณ 1 ใน 7 ของระยะทางที่จะไปถึงปลายทาง ยังไม่รวมขากลับอีกน๊ะเนี๊ยะ)
เส้นทางเริ่มเห็นถึงความยากลำบากของชีวิตแล้ว ในใจนี่ โยนหัวก้อยอยู่ตลอดเวลา ไปต่อ ไม่ไป ไปต่อ ไม่ไป ……..
เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ …. ขาอ่อน ตีนสั่น บางช่วงถึงกับต้องคลานเกาะหินกิ่งไม้รากไม้
แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดทางน๊ะ บางช่วงบางตอนก็มีให้กำลังใจกันบ้าง
ทุกครั้งที่ท้อ …. จะแหงนมองท้องฟ้า
ช่วงนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย แถมลื่นกลิ้งเลอะเทอะไปหมด …
ที่สำคัญที่สุดของที่สุดคือ การจัดสรรน้ำดื่มที่มีอยู่ครึ่งขวด
เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมคนนำทางคนไทย เป็นที่มาของคำพูด ตอนเริ่มรีวิวนั่นแหละ
“ลุง ลุง … มาคนเดียวหรอ มันชันและอันตรายมากนะครับ”
“ฝนจะลงแล้วครับ ระวังหน่อย”
“อีกประมาณชั่วโมงครึ่งครับ”
….. โอววววววววววว พระเจ้า อีก ชั่วโมงครึ่ง คงรวมเวลาลงด้วยมั้ง ….(แห่มยังเข้าข้างตัวเองอีก)
นี่เรามาก็ชั่วโมงนึงล๊ะ ….
เจอป้ายที่ไหน ดีใจที่นั่น อย่างน้อยก็มีอะไรให้อ่านบ้าง
แต่ไอที่ไม่อยากอ่าน ก็มีให้อ่านเยอะ
มาเจอปลวกแล้ว
เห็นแบบนี้ชื่นใจหน่อย หยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบ …….จิบแค่คำเดียวจริงๆ เพราะส่วนที่เหลือ มันน้อยมาก ยังต้องเผื่อขาลงอีก
จำได้ว่า…ตอนนั้น เกือบโทรขอความช่วยเหลือ จส.100 แล้ว แต่ใจก็บอกให้สู้ต่อไป …
ช่วงนี้ เริ่มมีฝนปอยสลับกับแสงแดด …บอกตรงๆว่า เดินลากขา เข้าใจน๊ะ เดินลากขา แบบว่า บางครั้งจะยกขาข้ามก้อนหิน ยังต้องใช้มือช่วยยก
แต่ใจก็คิดว่า …. มาขนาดนี้แล้ว….
ให้ชื่นใจได้แป๊บ …เส้นทางต่อไป…เป็นลมดีกว่า …
ช่วงนี้รู้เลยว่า เดินไปแบบตาลายพร่ามัว สติไม่ค่อยมีเท่าไหร่ …
ตรวจเช็คสัญญาณมือถือ สี่เม็ดสบายมาก แต่แบตเตอร์รี่เข้าขั้นวิกฤติแล้ว
มาถึงทางแยกวัดใจ ตรงไปชมวิว เลี้ยวขวาน้ำตก คงไปได้ทางใดทางหนึ่ง … เลือกที่จะเดินตรงไป
ช่วงนี้…ป่าชุ่มชื้นเห็นมอสกลาดเกลื่อนตามสองข้างทางเดินเต็มไปหมด
มีช่วงเวลาที่เดินสบายหน่อย ได้ทบทวน คิดไปเรื่อยว่า จะหันหลังกลับเลยมั๊ย ทั้งแรงและน้ำ ไม่มีก๊อกสามแล้ว ก๊อกสองก็กำลังใช้อยู่
สารภาพตามตรงเลยว่า ช่วงที่ปีนชันๆหน่อย มองขึ้นไปเห็นหินก้อนนี้ไกลๆ ดีใจมาก เพราะตอนนั้น เห็นเป็นกระต๊อบเหมือนกระต๊อบมุงจากทำนองนั้น
คงได้เจอเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อขอความช่วยเหลือ … เพราะรู้สึกว่า…ไม่รู้ว่า จะลงอย่างไร …หมดเรี่ยวแรงแล้ว
แต่พอเดินมาถึงใกล้ๆ กลับกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นเลย
ทรุดลงไปกองยังไม่เท่าไหร่ …ไอจะลุกขึ้นมายืนนั้น ยิ่งยากสาหัสกว่ามาก ปกติข้อเข่าก็ไม่ดีอยู่แล้ว …
เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มีความรู้สึกกลัว …..กลัวว่าจะไม่รอด …(ในช่วงเวลานั้น คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนนี้เหมือนคนเดียวโดดเดี่ยวในป่า แต่ก็ยังนึกในใจว่า อย่างน้อยก็ได้ลงชื่อและมีคนรู้ว่าเราขึ้นมา แถมมีเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย แต่…แบตจะหมด อิอิ)
มาถึงอีกหนึ่ง ไมล์สโตน …
จริงๆก็สวยน๊ะ ยังกะปูพรมไว้ให้ แต่เราต้องเดินอย่างระมัดระวัง อย่าได้ไปเหยียบพวกเขา …
อีกมุมที่ชื่นใจ … แต่ยังต้องไปอีกนิด
1% สุดท้าย ….. ฺBattery พร้อมๆกับฝนที่ลงเม็ดลงมา ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรแล้ว อ้าปากรองรับน้ำฝนเลย
จำต้องปิดมือถือ เพื่อเอา 1% นั้น ไว้ใช้ในคราวฉุกเฉิน
มาถึงตรงนี้ ….ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน แว่วๆ
แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าหูแว่วเหมือนเมื่อสักครู่ที่ตาฝาดหรือไม่
นั่งรอ … ที่โขดหินนั่นแหละ สักพัก ก็ได้ยินอีก เป็นการพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ดีใจสุดขีด ….
เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 คน ชายสองหญิงสอง !!!
ทักทายกันนิดหน่อย เห็นขวดน้ำของแต่ละคน ก็เหลือไม่ได้มากมาย (ตอนแรกกะว่าจะขอแบ่ง 5 5 5)
มาถึงตอนนี้ ก็เลย ขอเดินเกาะกลุ่มไปด้วย (ดีใจมากๆ) แต่สังขารเรา ย่ำแย่ หลังจากได้นั่งพัก ก็ฟื้นกำลังคืนมา
เห็นมีร่องรอยการก่อกองไฟ จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นจุดกางเต้นท์ (ไม่รู้ว่าเขาอนุญาติให้ค้างแรมบนนี้ไหม?)
ได้ยินเสียงพวกฝรั่ง ยู้ฮู้ ๆ ๆ เย้ๆๆๆๆๆ กัน เลยเดินๆปีนๆตามไปอีกหน่อย
ภาพที่เห็นข้างหน้า ช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก สุดยอดจริงๆ
ขำ…แหม่ม….ที่ไปนั่งตรงผา(คล้ายๆภูกระดึงเลย แต่เล็กกว่า) มือนี่จับเชือกสั่นเงอะๆเลย ร้องวี๊ดว๊าย …
รวมเวลาที่เดินขึ้นมาสองชั่วโมงกว่า …..
นั่งคุยกับฝรั่งสักพัก ถามเขาว่าจะลงยัง …
เขาบอกว่า คงอยู่ตรงนี้อีกสักครึ่งชั่วโมง หายเหนื่อยแล้วค่อยลง
ครึ่งชั่วโมงสำหรับเรา มันไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวจะเสียนัด อีกทั้งเราก็เดินช้าเคลื่อนที่ช้ากว่าด้วย
นึกในใจว่า เราลงไปก่อนก็ยังดีกว่า อย่างน้อยมีพวกเขาลงตามหลังไป เผื่อไม่ไหวยังไงจะได้ขอความช่วยเหลือ
จึงบอกเขาว่า เราจะลงก่อนล๊ะ เวลาพวกเขาลง ช่วยดูข้างๆทางด้วยน๊ะว่าเจอเราไปฟุบอยู่ตรงไหนบ้างหรือปล่าว
หัวเราะกันใหญ่ …..
สูดหายใจลึกๆ …. หยิบไม้ที่วางทิ้งอยู่ข้างทาง มาทำเป็นไม้เท้า เข้าใจว่าเป็นของนักท่องเที่ยวนี่แหละ ที่ใช้เป็นไม้เท้า แล้วมาทิ้งไว้
ช่วงทางธรรมดา ก็ช่วยผ่อนแรงได้ดี … แต่พอถึงช่วงหฤโหด ต้องโยนทิ้งเลย เพราะ สองมือต้องใช้ในการคลาน…เอ๊ย….เกาะหินเกาะรากไม้
จริงอยู่ ในใจคิดว่า ขาลงน่าจะง่ายกว่าขาขึ้น แต่ช่วงที่ชันๆ ผมว่าลงยากกว่าขึ้นน๊ะ
จนกระทั่งมาถึงจุดนี้ …. จุดที่วิวสวยอีกจุดหนึ่ง จึงมั่นใจว่า ทริปนี้ เรารอดแล้ว ถึงแม้ระยะทางจะยังไกลโขอยู่ แต่เรารู้แล้วว่าข้างหน้าเราจะเจออะไร
น้ำส่วนที่เหลือ ถูกเทเข้าปากทั้งหมด เพราะริมฝีปากแห้งผากหมดแล้ว
มือถือถูกนำมาเปิดใช้งานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อถ่ายภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า “ฟ้าระเบิด”
แต่ถ่ายได้ไม่กี่รูป มันก็ Shutdown ตัวเองลง …… หมดสนิท ….0%
ตอนนี้กำลังใจ… ที่จะลงไปให้ถึงข้างล่าง มีเต็มเปี่ยม แต่ก็ยังมีล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน
มาถึงข้างล่าง เจ้าหน้าที่ทั้งสอง กำลังหุงหาอาหารสำหรับมื้อเย็นกันอยู่
รวมเวลาขาลงประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที
ซื้อน้ำอัดลมกินไป 2 กระป๋อง น้ำปล่าวอีก 1 ขวด หมดเกลี้ยง เลยซื้อน้ำปล่าวติดรถไว้อีก 1 ขวด
ขึ้นไปนั่งบนรถ หย่อนก้นลงนั่ง แล้วใช้สองมือประคองขายกขาเข้ามาในรถ
ต้องนั่งพักอยู่ยกใหญ่ เพื่อให้แน่ใจว่า จะสามารถขับรถกลับไปถึงโรงแรมได้ …
และแล้วเราก็พาร่างกลับมาที่โรงแรมได้ทันเวลาพอดิบพอดี …….
จะจำไปอีกนาน …. สำหรับที่นี่ ถามว่าให้มาอีกครั้ง จะมาไหม?
ตอบได้ทันทีเลยว่า ……… มา
แต่ไม่ขอมาคนเดียว และ ขอเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ ด้วย
คำเตือน สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชมวิวบนยอดดอยเขาหงอนนาค
- ร่างกายต้องฟิตน๊ะ
- ไม่แนะนำให้เดินทางคนเดียว ควรจะมีเพื่อนมาด้วย
- ถ้าไม่แน่ใจ ติดต่อเจ้าหน้าที่หรือจะจ้างผู้นำทางก็ได้ โดยเฉพาะถ้าต้องการไปดูพระอาทิตย์ตก เพราะจะต้องเดินฝ่าความมืดในป่าลงมาเป็นชั่วโมง
- น้ำดื่มต้องมีพร้อมให้พอเพียง อาจจะมีขนมหรืออาหารทานง่ายๆติดตัวไปด้วย
- ขยะทุกชิ้น เอาลงมาให้หมด และเอาขึ้นรถของท่านออกไปจากอุทยานด้วย อย่าได้ทิ้งไว้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่เลย
- เช็คแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ด้วย เดี๋ยวจะเป็นแบบผม
- ควรศึกษาหาข้อมูลมาก่อนว่า ที่นี่คืออะไร มีอะไร อย่างไร ตรงไหนบ้าง อย่าได้ดุ่มๆเข้าไปอย่างอีตาบ้านี่ อิอิ
- ไฟฉายเล็กๆ ก็ควรต้องมี(ยิ่งถ้าไปดูพระอาทิตย์ตกดิน)
รีวิว ท่องเที่ยวกระบี่ ในทริปนี้
BANGKOK AIRWAYS :: เมื่อผมหัดบินกับ Boutique Airline … บางกอกแอร์เวย์ส…ไปกินข้าวต้มมัดในตำนาน
KRABI :: Red Ginger Chic Resort – โรงแรมแบบ ชิค ชิค ….ฮิปมากมายที่อ่าวนาง
KRABI :: ท่องเที่ยวแบบ Krabi Go Green ที่สวนสมุนไพร Natin Spicy Garden … แล้วคุณจะทึ่ง
KRABI :: ปั่น ปั่น ปั่นจักรยานท่องเที่ยววิถีชุมชนบ้านนาตีน อ่าวนาง กระบี่ กับ Krabi Go Green