สนามหลวง
ด้วยภารกิจแอบแฝงบางประการ วันนี้จึงได้ตั้งใจปลีกตัวเดินทางมายังสนามหลวง หลักๆก็เพื่อที่จะดูว่า ณ วันนี้ สนามหลวงมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทั้งการจราจร การจัดการเรื่องประชาชนที่จะเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดระเบียบจิตอาสา ฯลฯ เพราะว่าหลังจากที่เด็กๆสอบกลางภาคเสร็จ ก็จะปล่อยให้พวกเขามาทำงานจิตอาสาตามที่พวกเขาต้องการ ซึ่งวันที่เด็กๆจะมาทำเป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นพ่อแม่บางคนอาจจะไม่ได้มาด้วย จึงมาดูลู่ทางในการเดินทาง จะรับจะส่งกันอย่างไร และเรื่องอื่นๆ และได้มาพูดคุยกับงาน อาสาสมัครหน่วยปฐมพยาบาลเคลื่อนที่ (อาสายุวกาชาด) ของสภากาชาดไทย
การเดินทาง
สำหรับเพื่อนๆผู้ปกครองที่จะมาส่งลูก หรือ ที่จะนั่งแทกซี่มากัน ก็สามารถลงรถแล้วเดินไปยังจุดนัดพบที่บริเวณปากซอยพระจันทร์ที่คั่นระหว่างธรรมศาสตร์กับวัดมหาธาตุ และอีกจุดหนึ่งก็คือตรงท่าช้าง ซึ่งจะเดินมายังจุดนัดพบของเราที่กรมศิลปากรได้ง่ายๆและไม่ไกล เนื่องจากมีการปิดถนน แต่ถ้าหากว่าจะลงตั้งแต่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์แล้วเดินมาก็ได้นะครับประหยัดค่ามิเตอร์ดี แต่จริงๆเช้าวันที่ผมไป รถก็ไม่ได้ติดมากนะครับ (เนื่องจากเป็นวันทำงาน แล้วแต่วันและเวลาด้วย)
แต่วันนี้ผมทดลองมาจอดรถที่อาคารจอดรถกรุงเทพมหานคร บางลำพู ซึ่งในช่วงสองสามเดือนนี้เคยมาจอดเดินเที่ยวบางลำพูหลายครั้งแล้ว
ปรากฏว่าวันนี้ซึ่งเป็นวันธรรมดา วันทำงาน ที่จอดรถก็เลยโล่งมาก จอดสบาย เวลาเปิดปิด อัตราค่าจอดรถก็ตามนี้เลยครับ
จากอาคารจอดรถตรงถนนไกรสีห์ เดินมาถึงตรงทางม้าลายข้ามไปสนามหลวง ระยะทางประมาณ 650 เมตร เดินชิลๆสบายๆแป๊บเดียว 10-15 นาทีก็ถึง
แต่ ….. มันไม่ใช่อย่างนั้น !!! เพราะว่าระหว่างทางจะต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งแบบนี้
แล้วก็แบบนี้ … กว่าจะเดินไปถึง พุงกางพอดี
แล้วยังมีจุดแวะพักน่าสนใจอื่นๆอีก โชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาเปิด … ไว้มาวันหลัง
จนกระทั่งมาถึงทางข้ามถนนไปยังสนามหลวง
เดินข้ามสบายครับ มีไฟเขียวไฟแดงสำหรับคนข้ามถนนด้วย เท่านั้นยังไม่พอ มีเจ้าหน้าที่(เทศกิจ) มาคอยช่วยเบิกทางให้ด้วย (แต่ตอนบ่าย ผมเดินกลับก็มาข้ามตรงนี้ ข้ามพร้อมๆกับฝรั่ง และนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 20-30 คน ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไฟแดงรถไฟเขียวคนข้าม แต่คนไม่ได้ข้ามรถไม่ได้หยุด แถมบีบแตรไล่อีกต่างหาก ถอยกลับกันแทบไม่ทัน ไฟเขียวของเราก็ไม่ใช่ว่าแพล๊บเดียวนะ แต่ก็ไม่มีใครจอดให้ข้าม ส่วนใหญ่เป็นรถบัสวิ่งกันมายาวๆหลายคัน จนต้องรออีกไฟเขียวนึง ก็ยังไม่ได้ข้าม จนมีฝรั่งใจกล้า ชูมือแล้วก็เดินข้าม เอาตัวเข้าแลก แฮะๆ จึงได้ข้ามกันทั้งกลุ่ม)
ถ้ามารถเมล์ก็มาลงหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ได้ครับ แต่ก็เห็นรถเมล์ไปจอดตรงแถวๆหน้าพิพิธภัณฑ์เหมือนกัน
ข้ามไปฝั่งโน้น ก็จะเห็นประตูทางเข้าพื้นที่ด้านในรออยู่เลยครับ
ก็จะมีการตรวจกระเป๋า ตรวจอาวุธอะไรทำนองนั้นนะครับ
เดินเข้าไปถึงผ่านเครื่องตรวจ มันก็ร้องเป็นปกติ เพราะเห็นร้องทุกคนเลยไม่ว่ามีกระเป๋าไม่มีกระเป๋า แล้วเดินไปที่โต๊ะเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ดู สักพักเจ้าหน้าที่อีกคนก็บอกว่า “Passport”
เรือหายละ …. ไม่ได้พกพาสปอร์ตมาด้วยสิ เออแล้วคนอื่นเขาทำยังไงฟ๊ะ ก็เลยถามไปว่า “บัตรประชาชนได้ไหมครับ ไม่ได้เอา passport มา” คราวนี้ก็ฮากลิ้งสิครับ “อ้าววววว คนไทยหรอครับ 5 5 5 ขอดูบัตรประชาชนหน่อยครับ”
ก็เป็นอันว่าเราเข้ามาอยู่ในพื้นที่ควบคุม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเต็นท์ของกลุ่มจิตอาสา (แต่ผมได้ยินชาวบ้านเขาเรียกว่าซุ้ม ซุ้มโน่น ซุ้มนี่ ยังนึกอยู่ในใจเลย คำนี้ตำรวจชอบใช้นี่นา “ซุ้ม”) เห็นแถวยาวๆเรียงเดี่ยวแบบนี้ ไม่ใช่แถวเข้ากรายสักการะพระบรมศพแน่นอน
ที่มันทรมานมากก็คือ “กลิ่น” นี่แหละครับ …. โอยยยยยยยยย หอมมมมมม จนท้องร้อง จนแทบจะอายชาวบ้านเลย
ขยะมีไว้ให้แยก แต่เชื่อไหมครับว่า ผมยืนดูอยู่เกือบสิบนาที กว่า 70% ไม่ได้ดู ไม่ได้แยก จนตอนขากลับ ผมจึงเห็นว่า มีเจ้าหน้าที่ กทม. จะมายืนบอกประจำถังขยะว่าถังไหนอย่างไร …
แต่ถ้าเป็นแถวตอนเรียงสี่แบบนี้ ใช่เลย เป็นผู้ที่มาเข้าแถวรอ บางท่านก็มาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ทุกท่านล้วนมีใบหน้าสดใส มุ่งมั่นในสิ่งเดียวกัน
สงสัยกำลังจะไปสร้างรัง
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับภาพนี้แล้ว
เราก็เดินไปกันต่อครับ … จริงๆ ถนนโล่งแบบนี้ ก็ดูสบายตาดีนะครับ
หลายๆท่านที่เพิ่งออกมาจากการถวายสักการะพระบรมศพ(สังเกตุจากภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่ถือกันอยู่)
ส่วนที่เห็นเดินกันเป็นแถวนั้น ก็คือประชาชนกลุ่มที่กำลังเดินเข้าไปทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อกราบสักการะพระบรมศพ
น้องๆ รด. นักศึกษาวิชาทหารรักษาดินแดน ก็มาช่วยงานบริการ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
ด้านหน้าที่เห็นสีฟ้าๆคือตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ตรงนั้นคือตำแหน่งที่ตั้งขอบรั้วของกรมศิลปากรที่เรากำลังจะไป จะอยู่ตรงข้ามกับ ประตูวิเศษไชยศรี พอดี
ส่วนตรงถนนหน้าพระธาตุ ก็จะเป็นจุดกางเต็นท์ที่นั่งสำหรับประชาชนที่มารอระยะสุดท้าย ก่อนเข้าพระบรมมหาราชวัง
สำหรับนักท่องเที่ยว ก็เปิดให้เข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ตามปกติ โดยเข้าได้ทางประตูวิเศษไชยศรี
ดังนั้น เพื่อความสะดวก นักท่องเที่ยวควรจะลงรถที่ท่าช้างแล้วเดินมาตามถนนหน้าพระลานจะสะดวกที่สุด ที่เห็นเดินกันมาเยอะๆก็คือประชาชนที่เพิ่งออกมาจากพระบรมมหาราชวังทางด้านประตูเทวาภิรมย์ ซึ่งอยู่ทางถนนมหาราช และจะเดินกลับมาที่สนามหลวงผ่านทางท่าช้าง ถนนหน้าพระลานเช่นกัน
แต่ผมแอบเข้าไปจิบกาแฟร้อนๆเพิ่มอีกแก้วนึงที่ร้านศิลปากร นั่นแหละครับ แฮะๆ
จุดนัดพบ
คราวนี้ก็มาถึงจุดนัดพบที่บอกพ่อๆแม่ๆผู้ปกครองเพื่อนๆลูกว่า เรามาเจอกันตรงนี้นะ นั่นก็คือ กรมศิลปากร ประตูทางเข้าและอาคารด้านหลังเห็นแล้วทำให้เชื่อได้ว่าเป็นกรมศิลปากรแน่นอนจากปากประตูทางเข้า มองไปที่พระบรมมหาราชวังนิดเดียวเอง และจุดนั้นก็เป็นเต็นท์สุดท้ายแล้วที่นั่งรอก่อนจะเดินเข้าพระบรมมหาราชวัง
เมื่อเดินเข้าประตูมาก็เจออาคารที่มีป้ายชื่อกรมศิลปากรอยู่เลย และเต็นท์ที่มีเก้าอี้สีเขียวหลายๆตัวนั่นก็คือจุดนัดพบที่เราจะนัดกัน จะสังเกตุเห็นว่า มีเด็กนักเรียนมานั่งรอบ้างแล้ว ความจริงก็มากันเยอะแล้ว(เพราะมาพร้อมๆกันเป็นรถบัส) แต่ก็แยกย้ายกันไปทำงานจิตอาสาอื่นๆ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลานัดของยุวกาชาด
และที่เต็นท์นี้ ความจริงก็คือกองอำนวยการของงานจิตอาสายุวกาชาดนี้
ก็เลยเดินออกไปถ่ายรูปเล่นด้านหน้ากรม
กลับมาก็ถึงเวลารายงานตัวของเด็กๆพอดี
อาสายุวกาชาดแต่ละคน จะมีป้ายห้อยหลังอยู่ และจะมีถุงปฐมพยาบาลติดตัวด้วยทุกคน
ในถุงนั้นก็จะประกอบไปด้วย ยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
อันนี้ไม่ใช่ยานะครับ ถ่ายมาขำๆ แต่จะบอกว่าเป็นที่ท๊อปฮิตมาก วางแจกอยู่ด้านหน้ากรมฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เต็นท์ระยะสุดท้าย เพราะเหน็ดเหนื่อยอดนอนกันมานาน ต้องกระตุ้นให้กระปี้กระเปร่ากันหน่อย
ขั้นตอนต่อจากนั้น ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายงาน การพูดจากับประชาชนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่รุ่นน้ารุ่นตารุ่นยายทั้งนั้น การใช้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในถุงมีอะไรบ้าง ใช้อย่างไร การแบ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็จะไปประจำแต่ละเต็นท์ (เคยมีคนคำนวนคร่าวๆว่า เต็นท์หนึ่งๆ จะมีประชาชนอยู่ประมาณ 1,440 คน อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ แฮะๆ) นัดแนะเวลาทำงาน เวลาพักเที่ยง ทานอาหารที่นี่แหละ ทางศูนย์จะมีอาหารไว้ให้ ฯลฯ
ประมาณนี้นี่แหละครับ เดี๋ยววันที่กลุ่มลูกๆไป จะเก็บรายละเอียดมาให้ครบถ้วนมากกว่านี้ อ่อ… ขอขอบคุณลูกๆหลานๆจากโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยนะครับ ที่มาเป็นอาสายุวกาชาดในวันนี้ เห็นว่าตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกันตอนเที่ยงคืน แล้ว มานอนต่อกันในรถ มาถึงกรุงเทพฯก็พร้อมปฏิบัติงานทันทีถ้าใครสนใจจะไปช่วยงานอาสายุวกาชาด ได้ทั้งชายและหญิง ติดต่อได้ที่นี่เลยครับ
ผู้ปกครองแบบเราๆ จะทำอะไรได้บ้าง
ทำได้หลายอย่างครับ จะไปสมัครงานจิตอาสาต่างๆที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้ครับ
เข้าไปไหว้พระที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
หรือใครรักความสงบ ไม่ชอบคนเยอะๆ ไม่ชอบเบียดเสียดแออัดยัดเยียด มาเดินชมที่นี่ได้เลยครับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร ผมเผลอเดินเข้าไป ใช้เวลาอยูาในนี้ 3 ชั่วโมงครึ่ง ช่วงนี้ยังมีนิทรรศการ “ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” ไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2560 นะครับ ปล. มีภาพและโปสการ์ดสวยๆแจกให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมด้วยนะครับ
พระบรมฉายาลักษณ์ที่แจกนั้น เข้าใจว่าแจกจากทาง Canon และก็จะเปลี่ยนภาพพระฉายาลักษณ์ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน (ผมได้ยินมาแว่วๆ)